Translate

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประโยคคำถาม Yes/No Question

Yes/no question คือ ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบว่า Yes หรือ No .ใช่หรือไม่ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
คำถามประเภทนี้ ในภาษาอังกฤษ จะมี จะมี 3 แบบ ตามลักษณะของรูปประโยคคำถาม คือ

ถ้าประโยคคำถามขึ้นต้นด้วย Verb to be เวลาตอบก็ต้องใช้ Verb to be เช่น
◦ Is Tom a Teacher­
• Yes, he is หรือ No, he is not
◦ Are they your children­
• Yes, they are หรือ No, They are not

 ถ้าประโยคคำถามขึ้นต้นด้วย Verb to do เวลาตอบก็ต้องใช้ Verb to do เช่น
◦ Do you speak English­
• Yes, I do หรือ No, I don’t
◦ Does she know how to drive­
• Yes, she do No, she doesn’t 

 * ข้อสังเกต 
เราใช้ Do กับประธานพหูพจน์ และใช้กับ I, You, We, They 
ส่วน Does เราใช้กับประธานเอกพจน์ และใช้กับ He, She และ It.เมื่อมี does มาอยู่หน้าประโยค คำกริยาจะไม่เติม s 

ถ้าประโยคคำถามขึ้นต้นด้วยกริยาช่วยตัวอื่น ๆ (Auxiliary Verb) เวลาตอบ ก็ต้องใช้คำกริยาช่วย เช่น
◦ Can Tony swim­ 
• Yes, he can. หรือ No, he cannot 
∞ ข้อควรจำ เมื่อขึ้นต้นคำถามด้วยverb อะไร เวลาตอบให้ตอบverb นั้น

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลักการใช้ already, yet และ still เขาใช้กันอย่างไรบ้าง

หลักการใช้ already, yet และ still  เขาใช้กันอย่างไรบ้าง 

Already
           Already แปลว่า อยู่แล้ว, เรียบร้อยแล้ว เราใช้ already เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่า บางอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดหวัง ... และขอให้สังเกตุการวาง already ในประโยคด้วย
              Ex. A : What time is Suda leaving? เวลาเท่าไหร่ที่สุดากำลังจะออกไป?
                     B : She has already left. หล่อนออกไป (เรียบร้อย) แล้ว
                           Shall I tell Tao what happened or does he already know?
                           จะให้ฉันบอกเต๋าไหมล่ะ ว่าอะไรเกิดขึ้น หรือว่าเขารู้อยู่แล้ว?
                     A : Shall I introduce you to Sunee? ฉันจะแนะนำคุณ ให้รู้จักกับสุนีน่ะ?
                     B : There is no need. We have already met. ไม่จำเป็นหรอก, พวกเรารู้จักกันแล้ว

Yet
          Yet แปลว่า ยังคง, แม้กระนั้น เราใช้ yet ในประโยคปฏิเสธ และคำถาม เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้พูด คาดการณ์ หรือคาดหวัง การเกิดขึ้นของบางสิ่ง บางอย่าง
              Ex. Have you met your new neighbours yet?
                     คุณได้พบเพื่อนบ้านใหม่หรือยัง?
                    A : Where are you going for your holiday?
                          คุณกำลังจะไปที่ไหนในวันหยุดพักผ่อนของคุณ?
                    B : I don't know yet. ฉันยังไม่รู้เลย





 Still
          1. Still แปลว่า ยังคง, สงบ, นิ่ง ถูกนำมาใช้เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์นั้นๆยังคงดำเนินอยู่
               Ex. I wrote to them last month and I am still waiting for a reply.
                      เดือนที่แล้ว ฉันได้เขียนจดหมายถึงพวกเขา และฉันยังคงกำลังรอการตอบกลับจากพวกเขา
                      Mun, I am still hungry!
                      แม่, ผมยังไม่อิ่มเลย ( ยังรู้สึกหิว )
          2. Stillถูกนำมาใช้เพื่อบ่งบอกว่า เหตุการณ์นั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
              Ex. It is ten o'clock and Tao is still in bed.
                     10 โมงแล้ว เต๋า ยังคงนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย
                     When I went to bed, Tao was still working.
                     เมื่อฉันเข้านอน, เต๋ายังคงกำลังทำงานอยู่
จากข้อสังเกตุ: เราจะวาง stillไว้ในส่วนกลางของประโยคคู่กับคำกริยา

**** Stillก็ถูกนำมาใช้ในประโยคปฏิเสธได้เช่นกัน แต่จะแสดงถึงอารมณ์ หรือความรู้สีก ของผู้พูดที่แรงกว่าการใช้ yet
               Ex. I wrote to him last week. He hasn't replied yet.
                     อาทิตย์ที่แล้ว ฉันเขียนจดหมายถึงเขา เขายังไม่ตอบกลับเลย
                     ( ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่า : ฉันคาดหวังว่าเขาจะตอบกลับมาในเร็วๆนี้ )
                     I wrote to him months ago and he still hasn't replied.
                     หลายเดือนผ่านมาแล้ว ที่ฉันได้เขียนจดหมายถึงเขา และ เขายังคงไม่ส่งข่าวคราวใดๆกลับมาเลย
                     ( ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่า : เขาควรที่จะตอบกลับมาหาฉันตั้งนานแล้ว )

มาดูการเปรียบเทียบการใช้yet และ still ในรูปแบบทั่วๆไป
               Ex. Tao lost his job six months ago and is still unemployed.
                      เต๋าได้ออกจากงานเมื่อหกเดือนที่แล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่ได้งานทำ
                      Tao lost his job six months ago and hasn't found another job yet.
                      เต๋าได้ออกจากงานเมื่อหกเดือนที่แล้ว และก็ยังหางานไม่ได้เลย
                      Is it still raining? ฝนยังคงกำลังตกอยู่หรือ?
                      Has it stopped raining yet? ฝนยังไม่หยุดตกอีกหรือ?

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เตรียมเปิดชั้นเรียน Conversation&Grammar Refresher

คอร์ส Conversation สนทนากับอาจารย์ชาวต่างชาติ/เจ้าของภาษา และคอร์ส Grammar Refresher รื้อฟื้น ทบทวน  ปูพื้นฐานโครงสร้างหลักสูตรและไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกับทีมงานอาจารย์ที่จบสายภาษามาโดยตรงและมากด้วยประสบการณ์


เตรียมเปิดชั้นอีกแล้ว 
สำหรับ Conversation สนทนากับอาจารย์เจ้าของภาษา โดยมี 2 ช่วงเวลาให้เลือก คือ 
1. จันทร์ และ ศุกร์ เวลา 17.00-19.00 น.
2. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 16.00-18.00 น.
สำหรับ Grammar Refresher ปูพื้นฐาน รื้อฟื้น ทบทวนโครงสร้างและไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ โดยมีช่วงเวลาให้เลือก คือ
1. จันทร์ - อังคาร เวลา 15.00-17.00 น.
2. พุธ และ ศุกร์ เวลา 17.00-19.00 น.
3. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 15.00-17.00 น.


วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คำถามที่น่าจะถามในระหว่างการสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ

มาดูคำถามที่น่าจะถามในระหว่างการสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ




1. Please introduce yourself. / Could you please introduce yourself briefly? (กรุณาแนะนำตัวเอง)

แนวการตอบ การแนะนำตัวเองก็เพียงแสดงให้ผู้สัมภาษณ์รู้ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ไม่จำเป็นต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรามากจนเกินไป

2. Why do you choose to study this major? / What’s your reason why you choose to study this major? (ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้)

แนวการตอบ จะต้องสอดคล้องกับข้อมูลที่เราได้ตระเตรียมมา ถ้าหากเราไม่ได้เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรมาก่อนว่า มีสาขาที่เปิดสอนอะไรบ้าง และจะต้องเรียนอย่างไร อาจจะทำให้การตอบคำถามในข้อนี้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้สัมภาษณ์จะเห็นว่าเราไม่มีความพร้อมที่จะเรียนในหลักสูตรนี้ ทั้งๆที่เราจะเข้าเรียนในสาขานี้ในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว ดังนั้น เราควรตอบให้สอดคล้องกับคำถามในเรื่องการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ และแรงจูงใจที่จะศึกษาในสาขาดังกล่าว

3. How do you know ______________ University? And why do you want to study in this institute?
(รู้จักมหาวิทยาลัย.......... ได้อย่างไร และทำไมถึงต้องการศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้)

แนวการตอบ คำถามนี้ต้องการคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติเกี่ยวกับหลักสูตรและสถาบันในเชิงบวก นั่นหมายความว่า หลักสูตรหรือสาขาที่จะเข้าศึกษาต่อนั้นดีและมีประโยชน์อย่างไร มหาวิทยาลัยที่เราสอบนั้นดี และมีชื่อเสียงด้านใดบ้าง ทั้งนี้ เราควรตอบในเชิงยกย่องสถาบันนั้นๆ

4. After your graduation, what would you like to be / do in the future? (เมื่อจบปริญญาตรีสาขานี้ไปแล้ว คิดว่าจะทำงานด้านใด)

แนวการตอบ จะต้องตอบในทางที่สามารถนำเอาความรู้ที่ได้จากที่เรียนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ต้องเตรียมเหตุผลมาสนับสนุนให้กลมกลืนกันระหว่างการปฏิบัติงาน กับการนำความรู้ที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้ ถึงแม้ว่า อนาคตเราอาจจะไม่ได้ทำงานตามที่เราได้เรียนมาก็ตาม หรือว่าเราอาจยังไม่มีอาชีพที่เราอยากทำ ณ ตอนนี้ก็ตาม

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลักการเขียนบทคัดย่อภาษาอังกฤษ (Abstract)

หลักการเขียนบทคัดย่อ

ศัพท์และรูปประโยคที่พบบ่อยใน Abstract

ซึ่งประโยชน์มากเพราะหยิบมาใช้ได้ทันที ดังข้างล่างนี้

1. การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ
the objective (s) of the study was (were) to ......................
the purposes of this study were : 1) to ..................., 2) to ....................
the study aimed at ......................
the study had .................. objectives, which were
the study had .................. objectives : to ............
2. เพื่อศึกษา
to examine, to investigate, to explore, to find out
3. เพื่อเปรียบเทียบ
to compare, to make a comparison between
4. ปัจจัยทางประชากรเศรษฐกิจสังคม
the demographic and socio – economic factors
5. สุ่มตัวอย่างโดยวิธี ................
A sample of .............. cases were drawn from ..................., using simple random sampling method 
6. กลุ่มตัวอย่าง คือ ........................
A sample was selected from ......................
................ cases were included as a sample
7. วิเคราะห์ข้อมูลโดย .......................
................ was used for data analysis 
data was analyzed using ..................
8. ผลการวิจัย
the findings indicated that .......................
the findings showed, pointed out, revealed that .................
It was found that ...................
the results of the study were as follows : 1) .................., 2) ........................
9. มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
- ...was statistically significant at 0.01 level
10. รูปแบบการวิจัย
เชิงปริมาณ The study was a quantitative research
เชิงคุณภาพ qualitative research
เชิงประวิติศาสตร์ historical research
เชิงเอกสาร documentary research
เชิงสำรวจ survey research
เชิงทดลอง experimental research
11. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การสำรวจ survey
การสังเกต observation
การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม participant observation
การสัมภาษณ์เชิงลึก in – depth interview
การสนทนากลุ่ม focus group discussion

ลองเอาไปใช้ดูนะค่ะ ว่าพอใช้ได้บ้างหรือเปล่า ^__^

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การ เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษและ รูปแบบประโยคที่ใช้บ่อยๆ

การ เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษนั้น รูปแบบประโยคที่ใช้บ่อยๆ เช่น ใช้ขึ้นต้นเรื่อง มักจะมีไม่กี่แบบ เราก็จำรูปแบบนั้นมาใช้เลย ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นเพียงบางส่วน
การเขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษนั้น รูปแบบประโยคที่ใช้บ่อยๆ เช่น ใช้ขึ้นต้นเรื่อง มักจะมีไม่กี่แบบ เราก็จำรูปแบบนั้นมาใช้เลย ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ประโยคที่นิยมใช้กัน เช่น

I am writing to inform you that …
ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแจ้งให้ทราบว่า …

I wish to inform you that …
ฉันประสงค์จะแจ้งให้ทราบว่า …

I would like to let you know that …
ฉันอยากแจ้งให้ทราบว่า …

I am writing to inquire about …
ฉันเขียนมาเพื่อถามเรื่อง …

I am writing to complain about …
ฉันเขียนมาเพื่อร้องเรียนเรื่อง …

I read / heard … and would like to …
ฉันได้อ่าน / ได้ยินในเรื่อง … จึงประสงค์จะ …

Thank you for your interest / inquiry.
ขอบคุณสำหรับความสนใจ / การถาม

I refer to the letter of [date] concerning [subject]
ฉันขออ้างอิงถึงจดหมายลงวันที่ [วันที่] เรื่อง [หัวข้อ]

I am contacting you regarding [subject]
ฉันต้องการติดต่อคุณเรื่อง [หัวข้อ]

I apologize in the delay in replying.
ฉันต้องขออภัยที่ตอบจดหมายของคุณล่าช้า

I would be very grateful if you …
ฉันจะขอบคุณมาก หากคุณ …

I would really appreciate it if you …
ฉันจะขอบคุณมาก หากคุณ …

Could you please …?
ขอความกรุณาช่วย … ได้หรือไม่

I wonder if you could …
ไม่ทราบว่า คุณจะช่วย … ได้หรือไม่

I wonder if it is alright to …
ไม่ทราบว่า จะสามารถ … ได้หรือไม่

I would like to …
ฉันอยากจะ …





ในย่อหน้าสุดท้าย เรามักจบด้วยการแสดงไมตรีจิตรด้วยถ้อยคำ เช่น

I am looking forwards to hearing from / meeting you.
ฉันจะรอคอยให้คุณติดต่อมา / ที่จะได้พบคุณ

I would be grateful if you will let me know as soon as possible.
จะเป็นพระคุณมาก หากคุณจะแจ้งให้ฉันทราบโดยเร็วที่สุด

If you have further questions, please contact …
หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ …

If you need any help, please feel free to tell me.
หากคุณต้องการให้ช่วย โปรดบอกฉันได้

If there is any question, please do not hesitate to ask me.
หากคุณมีข้อสงสัย โปรดอย่าลังเลที่จะถามฉัน

Thank you for help / understanding.
ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ / ความเข้าใจ

I truly appreciate your kindness.
ฉันซาบซึ้งในความกรุณาของคุณมาก

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรียนภาษาอังกฤษ เตรียมสอบ ติวเข้ม เพิ่มเกรด ที่อุบลราชธานี






ฝึกอ่าน ประโยคพื้นฐาน 5 แบบ

ประโยคพื้นฐาน 5 แบบ ข้างล่างนี้ เราขอชวนให้ทุกท่านฝึกทำความคุ้นเคย เพราะมันจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการทำความเข้าใจรูปแบบประโยคที่ซับซ้อนขึ้นไป

ประโยคพื้นฐาน 5 แบบ มีดังนี้

(1) ประธาน + กริยา / Subject + Verb
ตัวอย่าง:I swim. Joe swims. They swam.

(2) ประธาน + กริยา  + กรรม / Subject + Verb + Object
ตัวอย่าง:I drive a car. Joe plays the guitar. They ate dinner.

(3) ประธาน + กริยา + คำต่อกริยาให้ประโยคสมบูรณ์(complement) / Subject + Verb + Complement
ตัวอย่าง:I am busy. Joe became a doctor. They look sick.

(4) ประธาน + กริยา + กรรมรอง(คน) + กรรมตรง / Subject + Verb + Indirect Object + Direct Object
ตัวอย่าง:I gave her a gift. She teaches us English.

(5) ประธาน + กริยา + กรรม + คำต่อกริยาให้ประโยคสมบูรณ์(complement) / Subject + Verb + Object + Complement
ตัวอย่าง:I left the door open. We elected him president. They named her Jane.

complement ที่มาต่อคำ verb ให้ประโยคสมบูรณ์นั้น อาจจะเป็น noun, pronoun หรือ adjective ก็ได้ นะค่ะ