Translate

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รู้ลึกและรู้จริงถึงจะเป็นนักบินได้



การทำงานของนักบิน
นักบินจะใช้เวลาการทำงานตามกฎหมายแรงงานและกฎของสถาบันอากาศยานโลก นักบินจำเป็นต้องทำงานในอากาศบนที่สูง แต่เดิมเครื่องบินได้ออกแบบโดยให้เครื่องยนต์บังคับการบิน ทำให้อาชีพนักบินเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่ออันตรายอาชีพหนึ่ง ในปัจจุบันได้ออกแบบเครื่องบินให้ทุกอย่างควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และมีระบบควบคุมการบินที่ปลอดภัย ทำให้อัตราการเสี่ยงในปัญหาเครื่องยนต์ลดลง
ในการเดินทางนักบินจะทราบตารางการเดินทางล่วงหน้าเป็นเวลา 1 เดือน นักบินต้องรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสารในระหว่างทำการบินอัตราการเสี่ยงจะสูงมากเมื่ออยู่ระหว่างการบิน หรือการบินขึ้นและลงในสภาพอากาศที่ไม่ปกติ รวมทั้งการที่ต้องขับเครื่องบินในเส้นทางระยะยาวใช้เวลานาน อาจจะทำให้ นักบินมีความเครียดและความเมื่อยล้าจากการบินได้ ในระหว่างการบินระยะยาว นักบินมีโอกาสพักผ่อนเป็นครั้งคราว เนื่องจากมีผู้ช่วยนักบินปฏิบัติงานร่วมด้วยอย่างน้อย 1 คน

คุณสมบัติของผู้ที่อยากจะเป็นนักบิน
เนื่องจากนักบินเป็นผู้ขับเครื่องบินให้ไปสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารหรือสินค้าที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งจะไปถึงที่หมายปลายทางได้หรือไม่นั้น นักบินจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ จึงควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยมีหลักสูตรทาง วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือคอมพิวเตอร์
2. ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี ควรมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ดีพอสมควร เพื่อใช้ในการศึกษา และใช้ในการปฏิบัติงาน
3. รูปร่าง บุคลิกดี มีความสูงไม่น้อยกว่า 165 ซ.ม. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบดี มีสำนึกในความปลอดภัย และมีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม
4. มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นสูง มีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว
5. มีความมั่นใจในตนเอง ละเอียดรอบคอบ มีความจำดี ช่างสังเกต
6. อายุไม่เกิน 38 ปี ไม่สายตาสั้น และต้องไม่ตาบอดสี
7. ในการสอบสัมภาษณ์มีทั้งการสอบภาษาไทย และสอบเชาว์ปัญญา (Aptitude Test)และมีการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ผู้สมัครควรมีความรู้ภาษาอังกฤษดี และมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
8. ในการขับเครื่องบิน ต้องได้รับใบอนุญาตการบิน (Pilot License) รวมทั้งต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย และทดสอบทางจิตเวชจากสถาบันเวชศาสตร์การบิน

ผู้ประกอบอาชีพนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติ ดังที่กล่าวมาแล้ว ควรเตรียมตัวเพื่อเข้าเรียน หลังจากผ่านการสอบคัดเลือกตำแหน่งตามเงื่อนไข คือจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อหลักสูตรการบินในสถาบันการบินพลเรือนซึ่งเป็นสถาบันที่ใช้เป็นสำนักงานบริหารและฝึกวิชากิจการบินภาคพื้นดิน

อาชีพนักบินสามารถรับราชการเป็นนักบินของหน่วยราชการต่างๆ เช่น กองบินสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร หรือสายการบินเอกชนต่างๆ เช่น บริษัทการบินไทย บริษัทบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งยังมีความต้องการพนักงานในตำแหน่งนี้ยังมีมากแต่การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสม รวมทั้งการสอน และอบรมในการบินสามารถรับได้ครั้งไม่มากจึงจัดว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลน

สถาบันที่จะฝึกนักบินในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก และส่วนใหญ่จะฝึกให้หน่วยงานราชการ เพื่อใช้ในหน่วยงานของตนเอง แต่ถ้าหน่วยงานใดองค์การใดที่ต้องการนักบิน และไม่สามารถที่จะฝึกอบรมด้วยตนเองได้ก็จะส่งบุคคลในหน่วยงานของตนนั้นมาทำการฝึกที่สถาบันการบินพลเรือนในประเทศไทย ฉะนั้นผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่จึงกลับเข้าทำงานในหน่วยงานเดิมของตนที่ส่งมาฝึกอบรม แต่ถ้าเป็นนักศึกษาที่เรียนโดยทุนส่วนตัว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็จะทำงานเป็นนักบินในบริษัทสายการบินต่างๆ ซึ่งจะได้รับเงินเดือนสูงมากผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินมักจะเป็นชาย ในปัจจุบันประเทศไทยมีนักบินอาชีพที่เป็น ผู้หญิงทำงานในบริษัท บางกอกแอร์เวย์ และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทการบินไทย ยังไม่มีนักบินอาชีพที่เป็นผู้หญิง

ผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินสามารถเข้าสมัครงานในภาคราชการหรือภาคเอกชนที่ประกาศรับสมัครโดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วจะต้องเข้ารับการอบรมการบินจากสถาบันฝึกการบินพลเรือนโดยเมื่อจบการอบรมก็จะได้รับบรรจุเข้าเป็นนักบินประจำหน่วยงานนั้น  ยกเว้นนักบินของกองทัพอากาศ ซึ่งจะต้องเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศและสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนการบินของกองทัพอากาศซึ่งจะมีหลักสูตรการบินที่เกี่ยวกับการทหารไม่ใช่การบินเชิงพาณิชย์สำหรับนักบินทั่วไป เมื่อจบหลักสูตรจึงจะได้บรรจุเป็นทหารสัญญาบัตรเหล่านักบิน และได้รับการบรรจุเข้าประจำฝูงบินต่างๆ หรือบรรจุเข้ารับราชการตามกรมกองต่างๆ


ที่มา summercamp2011

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ภาษาอังกฤษง่ายกว่าที่คิด

ภาษาอังกฤษ ... ง่ายกว่าที่คิด

สำหรับเด็กและผู้ใหญ่




สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 045-265-577 หรือ 083-744-4155

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การใช้ There is/There are (back to basics)

การใช้ There is/There are (back to basics)
There is/There are แปลว่า มี
บางที่เราก็เขียนย่อๆ ว่า There’s หรือ There’re


There is an apple on the table.
There are some apples on the table.
จากการที่เรารู้มาว่า Verb to be ประกอบไปด้วย is/am/are  was/were  been
ดังนั้น รูปแบบอื่นๆ ของ there is/there are เช่น there was/ there were/ there has been/ there have been ล้วนแปลว่า มี
There were five people at my house yesterday. (มี ความหมายในอดีต)
There have been so many people in the shop since this morning. (มี ในช่วงระยะเวลา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน)
There will be a party at John’s house next month. (มี ในอนาคต)
There will be no force (จะไม่มีการใช้กำลัง)
ส่วนใหญ่นักเรียนมักจะใช้ Has หรือ Have ที่แปลว่า มี ซึ่งมักจะใช้กันผิดๆ
Have a lot of food on the table.
It has a lot of food on the table.
There have a lot of food on the table.
There is a lot of food on the table.
มาดูรูปแบบต่างๆ
บอกเล่า (Statements)
There’s a bird in my garden.
There are books on the desk.
ปฏิเสธ (Negatives)
There isn’t a phone in my bedroom.
There aren’t any restaurants here.
คำถาม (Questions)
Is there a restaurant here?
Yes, there is. / No, there isn’t



วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Everyday vs Every Day ใช้อย่างไร ให้ถูกต้อง?

Everyday vs Every Day ใช้อย่างไร ให้ถูกต้อง?


มีนักเรียนถามเป็นประจำครับ ว่า เจ้า everyday กับ every day (เว้นวรรคตรงกลาง) แตกต่างอย่างไร เพราะเมื่ออาจารย์ ตรวจงานเขียนกลับไปให้ เจอตัวสีแดงๆ ตรงคำสองคำนี้เข้าให้ ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าน่าจะถูก
ลักษณะที่นักเรียนชอบเขียนผิด เป็นประมาณนี้ครับ
Children have to go to school everyday. × (incorrect!)
–> Children have to go to school every day.
ทำไมละเนี่ย เหตุผล เป็นเช่นนี้
Eeveryday เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) แปลว่า
1. ซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน, ธรรมดา
synonym คือ commonplace, ordinary, or normal
eg. It is a very special party. We will not serve an everyday home-cooking.
2. ทุกวัน (ความหมายนี้ ทำให้สับสนกับคำว่า every day จึงต้องรู้ synonym ประกอบด้วยครับ)
synonym คือ daily
eg. The teacher explained the overuse of “just” in everyday speech.
Every day เป็นสำนวนบอกเวลา (time expression) แปลว่า ทุกวัน หรือ เป็นประจำ
synonym คือ each day, regularly
eg. My mother goes to the gym every day.

สรุป คือ Everyday เป็นคำเดี่ยวๆ ที่ต้องมีคำนามตามหลังเสมอ ในขณะที่ Every day = Adjective + Noun ดังนั้น จะใช้โดยไม่มีนามตามหลัง และจะวางไว้ต้น หรือท้ายประโยคเลย ก็ได้ครับ

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

TOEFL IELTS รับรองผล อุบลราชธานี



เรียนภาษาอังกฤษเตรียมสอบระดับปริญญาโท ปริญญาเอก หรือเรียนต่อต่างประเทศ โดยใช้คะแนน TOEFL IELTS CU-TEP รับรองผลทุกคอร์ส สอนสด พร้อมโปรโมชั่นมากมาย สอบถามเพิ่มเติม 045-265-577 

การถามเวลา (Asking for Time) // What time is it?

วันนี้มาด้วยเรื่องของการถามเวลา (Asking for Time) กันบ้างนะค่ะ อาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ก็แค่ถามเวลา What time is it?  อะไรประมาณนี้ แต่ไม่ใช่แล้วค่ะ ก่อนที่จะถามเวลานั้นเขาก็จะมีประเภทการถามแบบสุภาพ ๆ กัน ว่าแต่มันยังไง มาดูกันเลยค่ะ

การถาม

Excuse me. What time is it? ขอโทษครับ กี่โมงแล้วครับ

Could you tell me the time, please? ขอโทษครับกี่โมงแล้ว

Do you have a time? กี่โมงแล้ว (คุณมีนาฬิกาไหม)

เมื่อมีการถามก็ย่อมมีการตอบ งั้นมาดูกันนะค่ะว่า การตอบ เรื่องเวลานั้นตอบได้อย่างไรกันบ้าง



การตอบ

(It's) seven o'clock. 7 นาฬิกา

Six twenty/Twenty past six 6.20

Five to four/Three fifty-five 3.55

A quarter past eight/Eight fifteen 8.15

Half past ten/Ten thirty 10.30

A quarter to ten/Nine forty-five 9.45

Noon เที่ยงวัน

Midnight เที่ยงคืน

In the morning ตอนเช้า

In the afternoon ตอนบ่าย

In the evening ตอนเย็น

At night ตอนกลางคืน

พอเข้าใจกันบ้างไหมค่ะ #เกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษง่ายกว่าที่คิด ^___^

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประโยคเกี่ยวกับการโทรศัพท์และการรับโทรศัพท์Making and answering a call

วันนี้มีประโยคเกี่ยวกับการโทรศัพท์และการรับโทรศัพท์ Making and answering a call มาฝากค่ะเพราะการรับโทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใดการรับการโทรศัพท์เป็นสิ่งสำคัญค่ะและก็ใกล้จะเข้าสู้ AEC เราต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษค่ะ

hello! สวัสดีค่ะ/ ครับ
John speaking จอห์นกำลังพูด
it's Maria here  นี่คือมาเรีย
could I speak to ..., please?   ขอคุยกับ ... ได้ไหมคะ/ ครับ?
speaking! พูดสิ!
who's calling? ใครโทรมา?
could I ask who's calling? ฉันถามได้ไหมว่าใครโทรมา?
where are you calling from? คุณโทรมาจากที่ไหน?
what company are you calling from? คุณโทรมาจากบริษัทไหน?
how do you spell that? สะกดอย่างไร?
do you know what extension he's on? คุณรู้ไหมว่าเบอร์ต่อของเขาเบอร์อะไร?
one moment, please สักครู่นะคะ/ ครับ
hold the line, please ถือสายรอสักครู่นะคะ/ ครับ
I'll put him on ฉันจะต่อสายให้
I'll put her on ฉันจะต่อสายให้
I'm sorry, he's ... ฉันเสียใจ, เขา ...
not available at the moment ไม่ว่างในตอนนี้
in a meeting กำลังประชุม
I'm sorry, she's ... ฉันเสียใจ, หล่อน...
on another call ติดสายอยู่
not in at the moment ไม่อยู่ในตอนนี้

would you like to leave a message? คุณอยากจะฝากข้อความไหม

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เตรียมสอบ TOEIC รับรองผล

คอร์สที่เปิดใหม่ เตรียมสอบ TOEIC รับรองผล


อยากเป็นนักบิน อยากเป็นแอร์ อยากเป็นวิศวกร อยากเป็นนักวิชาการเคมี ฯลฯ 
ง่ายนิดเดียว มาเรียนกับเราสิค่ะ




เตรียมสอบ TOEIC สอนโดยอาจารย์ที่จบตรงทางภาษา มีวุฒิปริญญาไม่ต่ำกว่า ปริญญาโท ทางภาษา จบจากต่างประเทศ ชำนาญการทางภาษาเป็นพิเศษ ทั้งครูไทยและครูต่างชาติ และยังมีผลคะแนนสอบ TOEIC การันตีด้วยคะแนน 980 (จากคะแนนเต็ม 990 คะแนน) เรียนทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ราคาพิเศษเท่านั้น จะเรียนแบบกลุ่มหรือแบบส่วนตัว ก็มีให้เลือกเรียนได้ตามความต้องการของผู้เรียน สอบไม่ผ่านได้สิทธิเรียนซ้ำฟรีไม่จำกัดจนผ่านตลอด 1 ปี เต็ม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  045-265-577 สถาบันภาษาอาภาพชร อุบลราชธานี



วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษ การสอบถามทุกข์-สุข สบายดีหรือเปล่า

การสอบถามทุกข์-สุข สำนวนที่ใช้สอบถามว่าสบายดีหรือเปล่า ส่วนใหญ่จะใช้กันแค่  How are you? (ซึ่งเป็นคำถามที่เน้นเรื่องสุขภาพ) ฉะนั้นวันนี้เราจะนำเสนอประโยคที่ใช้สำหรับสอบถามทุกข์-สุข แบบอื่นๆกันบ้างนะค่ะ มาดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง

How are you going? (อังกฤษ) How are you doing? (อเมริกัน)

How’s it going? (เน้นความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน)

How have you been? (ในกรณีนาน ๆ เจอกันที)

How’s your life?

How’s everything?

How are things (with you)?

ส่วนการตอบก็มีหลายแบบมาดูตัวอย่างการตอบกันบ้างนะค่ะ  (I'm) fine, thanks. And you? (สบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ)  ซึ่งเรามักใช้จนชินในการตอบแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนในห้องเรียนกันแล้วใช่มั้ยค่ะ งั้นมาดูแบบอื่นกันบ้าง  ได้แก่

Good. สบายดี

Very well สบายดีมาก

I'm O.K. ก็ดี

So so. ก็งั้น ๆ

Not (too) bad ก็ไม่เลว

Great! เยี่ยม, วิเศษ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ พอนำเอาไปใช้กันบ้างหรือเปล่า ใครลองใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้างมาเล่าให้่เราฟังบ้างนะค่ะ