Translate

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คำว่า คอนเฟิร์ม ในคำภาษาอังกฤษ

คำว่า คอนเฟิร์ม เป็นคำภาษาอังกฤษอีกหนึ่งคำที่เรามักได้ยินคนไทยพูดกันมาก โดยนำมาใช้พูดปนกับภาษาไทย คอนเฟิร์ม เขียนในภาษาอังกฤษว่า confirm เป็นกริยา ที่แปลว่ายืนยัน หรือ รับรอง

หากเปลี่ยนเป็นคำนาม ที่แปลว่า การรับรองจะใช้คำว่า confirmation และในกรณีของคำ adjective สำหรับขยายคำนามจะใช้คำว่า confirmative แปลว่า ที่ยืนยัน ,ที่รับรอง คอนเฟิร์ม ภาษาอังกฤษ

ตัวอย่างการใช้คำว่า คอนเฟิร์ม(confirm) ในประโยคภาษาอังกฤษ

Do you want to come with me ? Please confirm.
คุณต้องการมากับฉันหรือไม่ ? โปรดยืนยัน.

He sent her to the lab for a blood test to confirm the diagnosis.
เขาส่งเธอไปห้องวิจัยสำหรับตรวจสอบเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค

They will then perform an ultrasound to confirm the pregnancy.
พวกเขาจะทำการอัลตราซาวน์เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์

Economic indicators confirm that the economy is in a recession.
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจยืนยันว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย

I confirm my attendance to the meeting
ผมยืนยันว่าจะเข้าร่วมประชุม

ทั้งหมดข้างต้นคือตัวอย่างรูปแบบการคำว่า คอนเฟิร์ม(confirm) ภาษาอังกฤษ

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พิธีรับปริญญาหรือพิธีจบการศึกษา ภาษาอังกฤษ ว่าอย่างไร

ช่วงนี้บัณฑิตจบใหม่จากหลายมหาวิทยาลัยต้องเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรค่ะ

"พิธีรับปริญญาหรือพิธีจบการศึกษา" ในภาษาอังกฤษเรียกได้หลายอย่างค่ะ เช่น
- commencement ceremony
- commencement exercise
- graduation ceremony
- graduation exercise

ส่วน "การซ้อมรับปริญญา" ในภาษาอังกฤษเรียกว่า
- graduation rehearsal
- commencement rehearsal

TEST ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ด้วยนะคะ
Congratulations on your graduation!



วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การใช้ Let and let’s

การใช้ Let and let’s
การใช้ Let
Let + Object (กรรม) + V1 แปลประมาณว่า ปล่อย(ให้)……
  • let me see (ให้ฉันดูหน่อย)
  • let me do it (ปล่อยฉันทำ)
  • I usually let the children stay late on Saturdays (ปกติฉันจะปล่อยให้เด็กๆ นอนดึกทุกๆ วันเสาร์)
  • Let us pay (ให้พวกเราจ่ายเถอะ)
  • let them go (ปล่อยพวกเขาไป)
  • let him talk (ให้เขาพูด)
  • let me be your hero (ให้ฉันเป็น hero ของเธอ)
  • let it be (ปล่อยมันไป)
  • I will let you know my schedules tomorrow (ฉันจะให้บอกคุณถึง ตารางเวลาฉันพรุ่งนี้)
Let + Object (กรรม) + preposition แปลประมาณว่า ปล่อย(ให้)…
* let go of – ปล่อย เช่น don’t let go of my hand – อย่าปล่อยมือฉันนะ
การใช้ Let’s
  • let’s do it (ทำกันเถอะ, เริ่มกันเถอะ)
  • let’s go home (กลับบ้านกันเถอะ)
  • Let’s forget about it (ลืมๆ มันไปเถอะ)
  • Let’s call the police (โทรหาตำรวจกันเถอะ)

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Dissolution of the parliament การยุบสภา

เกาะติดข่าวสารบ้านเมืองกันหน่อยนะค่ะ วันนี้เลยเอาคำศัพท์เกี่ยวกับการยุบสภามานำเสนอค่ะ

dissolution of the parliament หรือ dissolve parliament 
หมายความว่า ยุบสภา,การยุบสภานั่นเอง

มาดูคำศัพท์กันนะค่ะ
1. parliament (n) หมายความว่า สภา, รัฐสภา 

2. dissolution (n) หมายความว่า การยุบสภา 

dissolution (n) ในอีกความหมายหนึ่งทางด้านกฎหมายก็คือ การเลิก, การเพิกถอน, การขาดจากกัน, การยุบ (กฎหมาย : ปกครอง และ กฎหมาทย : รัฐธรรมนูญ) ซึ่งจะตามด้วย of .... ก็จะมีความหมายตามตัวด้านหลัง of เช่น
dissolution of adoption การเลิกรับบุตรบุญธรรม
dissolution of company การเลิกบริษัทจำกัด
dissolution of marriage ความสิ้นสุดของการสมรส
dissolution of marriage การขาดจากสามีภริยา
และ
"dissolution of the parliament" การยุบสภา 

ที่ท่านนายกได้แถลงการณ์เมื่อเช้านี้เอง (9 ธันวาคม 56)


วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนวข้อสอบ TOEIC พร้อมเฉลย

แนวข้อสอบ TOEIC พร้อมเฉลย

1 Our human resources department will help you acclimate to the San Francisco area __________ your arrival there.
(A) when                      (C) upon
(B) while                       (D) if
Correct: C
Category: Preposition

2 For being the top ________ real estate saleswoman of the quarter, Susan Miller received the accolades of her manager
(A) produce                     (C) produced
(B) production                  (D) producing
Correct: D
Category: Adjective

3 Your accommodations at the Pan-Pacific Hotel in Vancouver __________ been confirmed for two nights.
(A) having                        (C) have
(B) has                             (D) have to
Correct: C
Category: Subject Verb Agreement
4 President Smith's ________ assistant will accompany her on her trip to New York this week.
(A) executing                         ( C) execution
(B) executive                          (D) executable
Correct: B
Category: Adjective
5 ________ John accomplished little as production supervisor, he was fired.
(A) Even though                     (C) While
(B) In spite of                         (D) Because

Correct: D
Category: Subordinator Adverb Clause

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรียนภาษาอังกฤษเตรียมสอบที่อุบลราชธานี

เตรียมสอบ TOEIC รับรองผล 600+
สอบ TOEIC 600+
เรียนเพื่อเตรียมตัวสอบ ด้วยหลักสูตรเร่งรัด เน้นการสอบเข้าทำงานในอุตสาหกรรมการบิน 
วิศวกรรม องค์กรระหว่างประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร
รับรองผล 600+ ไม่ผ่านเรียนซ้ำฟรีจนผ่าน
การันตรีด้วยทีมงานอาจารย์ที่มีคุณภาพ ที่ผลสอบ TOEIC 800+


สนใจสอบถา่มเพิ่มเติมได้ที่ 045-265-577 หรือ 083-744-4155
หรือติดต่อโดยตรงได้ที่ สถาบันภาษา อาภาพชร อุบลราชธานี 
(ที่ทำการแห่งใหม่) ถนนบูรพาใน อุบลราชธานี
หรือแผนที่ได้ที่เว็บไซด์ www.test-thailand.com (ด้านล่างเว็บไซด์)


วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Opportunity Chance แปลว่า โอกาส By chance แปลว่า โดยบังเอิญ

Opportunity แปลว่า โอกาส



คำนี้เป็นคำนามแปลว่า “โอกาส” ถ้าเป็นโอกาสดีๆ ในชีวิต หรือ ที่เรียกกันว่า “โอกาสทอง” เราจะใช้คำว่า “Golden Opportunity” นอกจาก Opportunity ที่แปลว่า “โอกาส” แล้ว ยังมีอีกคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันนั่นคือ

Chance แปลว่า โอกาส

คำนี้เป็นคำนามแปลว่า “โอกาส” แต่โอกาสของ Chance จะต่างจากโอกาสของ Opportunity เพราะโอกาสแบบ Chance เป็นลักษณะของความบังเอิญมากกว่า ไม่ใช่โอกาสแบบ Opportunity ที่ถูกสร้างขึ้นมาหรือสะสมผ่านมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น Chance จึงมีกลิ่นอายของ “โอกาสแบบฟลุ๊คหรือแบบบังเอิญ” จึงมีสำนวนภาษาอังกฤษคำหนึ่งที่ใช้กันบ่อยๆ นั่นคือ

By chance แปลว่า โดยบังเอิญ

การเลือกใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำแปลภาษาไทยเป็นตัวตั้งก่อน จึงไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องเพราะจะก่อให้เกิดความผิดพลาดในการสื่อความหมายได้ง่าย ดังเช่นคำว่า Chance กับ Opportunity ที่แม้ว่าจะแปลว่า “โอกาส” เหมือนกัน แต่ลักษณะ การใช้งานจริงกลับแตกต่างกันอย่างมากทีเดียว

ถึงแม้ว่า “โอกาสจะมีไว้พุ่งชน” แต่เราต้องเลือกว่า เป็นโอกาสแบบ Opportunity หรือแบบ Chance เพราะ ถ้าเราพุ่งชน Opportunity โอกาสได้โอกาสดีก็มีให้เห็น แต่ถ้าเลือกชนแบบ Chance โอกาสพลาดโอกาสแพ้ก็มี เพราะอย่างที่บอก Chance เป็นโอกาสที่เข้ามาแบบบังเอิญๆ

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประโยคอะไร (What Phrases)

ประโยคอะไร (What Phrases)
บทเรียนนี้นำเสนอประโยคภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยคำถามอะไร

1. What are you doing?
คุณทำอะไรอยู่

2. What are you talking about?
คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่

3. What are you going to do tomorrow?
วันพรุ่งนี้คุณจะทำอะไร

4. What is this?
นี่คืออะไร

5. What is that?
นั่นคืออะไร

6. What are we going to cook?
เรากำลังจะทำอะไรกิน

7. What is going to happen next year?
อะไรจะเกิดขึ้นในปีหน้า

8. What time is it?
กี่โมงแล้ว

9. What's wrong?
เป็นอะไรไป

10. I don't know what you're talking about.
ผม/ฉัน ไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไรอยู่

11. What do you want to be when you grow up?
คุณอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น

12. What is your name?
คุณชื่ออะไร

13. What is your nationality?
คุณสัญชาติอะไร

14. What did you do yesterday?
คุณทำอะไรเมื่อวานนี้

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

TOEIC 600+ รับรองผล



วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การเน้นย้ำในภาษาอังกฤษ

การเน้นย้ำในภาษาอังกฤษ

1. การทำประโยคให้อยู่ในรูป Passive voice
Example:
John’s monthly report is expected by the end of the week.
รายงานประจำเดือนของจอห์นถูกคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นสัปดาห์นี้

2. การใช้ Inversion
สลับที่กริยาประธานและกริยาในประโยค โดยวางกริยาไว้หน้าประธาน ละขึ้นต้นประโยคด้วยบุพบทวลี Examples:

Seldom have I felt so alone.
นานๆที ที่ฉันจะรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้

3. การใช้ adverbs เพื่อแสดงถึงความรำคาญในประโยคนั้นๆ เช่น
Examples:
Martha is always getting into trouble.
มาร์ธามักจะมีปัญหาอยู่เสมอๆ
** แต่ในรูปแบบนี้มักใช้ใน Present continuous tense หรือ Past continuous tense แสดงถึงการกระทำที่ต่อเนื่องของประธานเป็นส่วนใหญ่

4. การขึ้นต้นประโยคด้วย It
โดยยังคงประธานและกรรมของประโยคเอาไว้คงเดิม เพื่อเป็นการเน้นย้ำประธานหรือกรรมของประโยค หลังประธานหรือกรรมมักตามหลังด้วย Relative clause เสมอๆ
Examples:
It is the awful weather that drives him crazy.
มันเป็นเพราะอากาศแย่ๆนั่นแหละที่ทำให้เขาบ้า

5. การขึ้นต้นประโยคด้วย What
ไม่ใช่การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นคำถามแต่อย่างใด แต่การที่ขึ้นต้นประโยคด้วย what ตามด้วย clause จะเป็นการเน้นย้ำกรรมหรือประธานของประโยคได้เช่นเดียวกัน แต่ต่างกันคือเมื่อเติม What แล้ว What จะทำหน้าที่เสมือนเป็นประธานของประโยคนั้นๆ จึงไม่ต้องใส่ประธานเพิ่มอีก
Examples:
What we need is a good long shower.
สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือการได้อาบน้ำฝักบัวนานๆ

6. การใช้ 'Do' or 'Did' เพื่อเน้นย้ำภาคแสดงของประโยค
ถึงแม้ว่าไวยากรณ์ภาษาอังกฤษจะไม่อนุญาติให้ใช้ do, did, does ได้ในประโยคบอกเล่า แต่ในกรณีที่ต้องการเน้นย้ำ ถือเป็นข้อยกเว้นที่สามารถใช้กริยาช่วยเล่านี้ได้ โดยวางกริยาช่วยไว้หน้ากริยาที่ต้องการเน้นย้ำ เช่น

Examples:
I do believe that he didn’t mean to break the window.
ฉันเชี่อว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำหน้าต่างแตก จะเน้นว่าฉันเชื่อ ให้ความรู้สึกว่าเชื่อจริงๆ

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรียนภาษาที่สองต้องเรียนภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษต้องเรียนกับ TEST

นักวิทยาศาสตร์ในอินเดียและอังกฤษที่ร่วมกันศึกษาอาการสมองเสื่อม พบว่า ผู้ป่วยที่พูดสองภาษาเริ่มมีอาการสมองเสื่อม (dementia) ช้ากว่าผู้ป่วยที่พูดภาษาเดียว 4.5 ปี โดยพบแนวโน้มเช่นนี้ในกลุ่มผู้ป่วยสมองเสื่อมทั้งสามประเภท รวมถึงอัลไซเมอร์ โดยไม่เกี่ยวกับปูมหลังด้านการศึกษาหรือรายได้

ที่มา-คมชัดลึกออนไลน์

ดังนั้น มาเรียนภาษาที่สองกันเถอะค่ะ จะเป็นการเรียนเพื่อสนทนา หรือ Conversation เป็นคอร์สสำหรับการสนทนาภาษาอังกฤษโดยเน้นการสนทนาที่พูดคุยในเรื่องชีวิตประจำวันจะเริ่มจากพื้นฐานทั่วไปจนถึงระดับสูงที่นำเอาไปพรีเซนต์งานหรือโปรเจคต่างๆ ติดต่อสอบถามได้ที่ สถาบันฯ ของเรานะค่ะ มีทั้งสาขาอุบลราชธานีและศรีสะเกษ รวมถึงเชียงใหม่ด้วยนะค่ะ สอบถามข้อมูลก่อนตัดสินใจเรียนได้ค่ะ



วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรียนภาษาอังกฤษ ง่ายนิดเดียว >> รูปภาพนักเรียนช่วงเดือน พฤศจิกายน

เรียนสนทนาภาษาอังกฤษ เรียนเพื่อสอบสัมภาษณ์งาน เพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อสนทนากับเจ้าของภาษา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อพรีเซนต์งาน หรือโปรเจคต่างๆ กับคอร์ส Conversation 
หรือเรียนเพื่อปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ เรียนเพื่อฟื้นฟูภาษา โครงสร้างไวยากรณ์ต่างๆ กับคอร์ส Grammar Refresher
รูปภาพส่วนหนึ่งของสถาบันกับคอร์สเรียน Conversation และ Grammar Refresher


วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ว่าด้วยเรื่อง Everybody,Somebody, Anybody, and Nobody.

Everybody,Somebody, Anybody, and Nobody.


This is a little story about four people named Everybody,
Somebody, Anybody, and Nobody.
There was an important job to be done
and Everybody was sure that Somebody would do it.
Anybody could have done it, but Nobody did it.
Somebody got angry about that because it was Everybody’s job.

Everybody thought that Anybody could do it,

but Nobody realized that Everybody wouldn’t do it.

It ended up that Everybody blamed Somebody
when Nobody did
what Anybody could have done.

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคน 4 คน
ที่มีนามว่า “ทุกคน” “บางคน”
”ใครซักคน” และ “ไม่มีใคร”
เรื่องมีอยู่ว่า มีงานสำคัญงานหนึ่งที่จะต้องทำให้เสร็จ
"ทุกคน”แน่ใจว่า “บางคน” จะทำ
ส่วน ”ใครซักคน” ควรจะทำให้เสร็จ แต่ “ไม่มีใคร” ทำ
”บางคน” โมโหเพราะเป็นงานของ”ทุกคน”
"ทุกคน” คิดว่า “ใครสักคน”ควรจะทำ
แต่”ไม่มีใคร” ระลึกได้ว่า “ทุกคน” ไม่ได้ทำ
เรื่องนี้จบลงด้วยการที่ “ทุกคน” กล่าวโทษ “บางคน”
ในขณะที่ “ไม่มีใคร” ทำในสิ่งที่
“ใครซักคน” ควรจะทำให้สำเร็จ

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Conversation สนทนาภาษาอังกฤษ กับอาจารย์เจ้าของภาษา

เตรียมตั้งชั้น !!!
Conversation สนทนาภาษาอังกฤษ กับอาจารย์เจ้าของภาษา
---->>>> สาขาอุบลราชธานี เรียนทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 16.00 - 18.00 น.
สนใจลงชื่อพร้อมเบอร์โทรติดต่อกลับ พร้อมเปิดเร็วๆนี้

---->>>> สาขาศรีสะเกษ ติดต่อจองคอร์สได้ตามเบอร์โทร 087-494-5474 , 081-879-5006 หรือติดต่อได้ที่ตึก ed-center ชั้น 2 (สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเก่า)
 





วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประโยคคำถาม Yes/No Question

Yes/no question คือ ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบว่า Yes หรือ No .ใช่หรือไม่ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
คำถามประเภทนี้ ในภาษาอังกฤษ จะมี จะมี 3 แบบ ตามลักษณะของรูปประโยคคำถาม คือ

ถ้าประโยคคำถามขึ้นต้นด้วย Verb to be เวลาตอบก็ต้องใช้ Verb to be เช่น
◦ Is Tom a Teacher­
• Yes, he is หรือ No, he is not
◦ Are they your children­
• Yes, they are หรือ No, They are not

 ถ้าประโยคคำถามขึ้นต้นด้วย Verb to do เวลาตอบก็ต้องใช้ Verb to do เช่น
◦ Do you speak English­
• Yes, I do หรือ No, I don’t
◦ Does she know how to drive­
• Yes, she do No, she doesn’t 

 * ข้อสังเกต 
เราใช้ Do กับประธานพหูพจน์ และใช้กับ I, You, We, They 
ส่วน Does เราใช้กับประธานเอกพจน์ และใช้กับ He, She และ It.เมื่อมี does มาอยู่หน้าประโยค คำกริยาจะไม่เติม s 

ถ้าประโยคคำถามขึ้นต้นด้วยกริยาช่วยตัวอื่น ๆ (Auxiliary Verb) เวลาตอบ ก็ต้องใช้คำกริยาช่วย เช่น
◦ Can Tony swim­ 
• Yes, he can. หรือ No, he cannot 
∞ ข้อควรจำ เมื่อขึ้นต้นคำถามด้วยverb อะไร เวลาตอบให้ตอบverb นั้น

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลักการใช้ already, yet และ still เขาใช้กันอย่างไรบ้าง

หลักการใช้ already, yet และ still  เขาใช้กันอย่างไรบ้าง 

Already
           Already แปลว่า อยู่แล้ว, เรียบร้อยแล้ว เราใช้ already เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่า บางอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดหวัง ... และขอให้สังเกตุการวาง already ในประโยคด้วย
              Ex. A : What time is Suda leaving? เวลาเท่าไหร่ที่สุดากำลังจะออกไป?
                     B : She has already left. หล่อนออกไป (เรียบร้อย) แล้ว
                           Shall I tell Tao what happened or does he already know?
                           จะให้ฉันบอกเต๋าไหมล่ะ ว่าอะไรเกิดขึ้น หรือว่าเขารู้อยู่แล้ว?
                     A : Shall I introduce you to Sunee? ฉันจะแนะนำคุณ ให้รู้จักกับสุนีน่ะ?
                     B : There is no need. We have already met. ไม่จำเป็นหรอก, พวกเรารู้จักกันแล้ว

Yet
          Yet แปลว่า ยังคง, แม้กระนั้น เราใช้ yet ในประโยคปฏิเสธ และคำถาม เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้พูด คาดการณ์ หรือคาดหวัง การเกิดขึ้นของบางสิ่ง บางอย่าง
              Ex. Have you met your new neighbours yet?
                     คุณได้พบเพื่อนบ้านใหม่หรือยัง?
                    A : Where are you going for your holiday?
                          คุณกำลังจะไปที่ไหนในวันหยุดพักผ่อนของคุณ?
                    B : I don't know yet. ฉันยังไม่รู้เลย





 Still
          1. Still แปลว่า ยังคง, สงบ, นิ่ง ถูกนำมาใช้เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์นั้นๆยังคงดำเนินอยู่
               Ex. I wrote to them last month and I am still waiting for a reply.
                      เดือนที่แล้ว ฉันได้เขียนจดหมายถึงพวกเขา และฉันยังคงกำลังรอการตอบกลับจากพวกเขา
                      Mun, I am still hungry!
                      แม่, ผมยังไม่อิ่มเลย ( ยังรู้สึกหิว )
          2. Stillถูกนำมาใช้เพื่อบ่งบอกว่า เหตุการณ์นั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
              Ex. It is ten o'clock and Tao is still in bed.
                     10 โมงแล้ว เต๋า ยังคงนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย
                     When I went to bed, Tao was still working.
                     เมื่อฉันเข้านอน, เต๋ายังคงกำลังทำงานอยู่
จากข้อสังเกตุ: เราจะวาง stillไว้ในส่วนกลางของประโยคคู่กับคำกริยา

**** Stillก็ถูกนำมาใช้ในประโยคปฏิเสธได้เช่นกัน แต่จะแสดงถึงอารมณ์ หรือความรู้สีก ของผู้พูดที่แรงกว่าการใช้ yet
               Ex. I wrote to him last week. He hasn't replied yet.
                     อาทิตย์ที่แล้ว ฉันเขียนจดหมายถึงเขา เขายังไม่ตอบกลับเลย
                     ( ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่า : ฉันคาดหวังว่าเขาจะตอบกลับมาในเร็วๆนี้ )
                     I wrote to him months ago and he still hasn't replied.
                     หลายเดือนผ่านมาแล้ว ที่ฉันได้เขียนจดหมายถึงเขา และ เขายังคงไม่ส่งข่าวคราวใดๆกลับมาเลย
                     ( ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่า : เขาควรที่จะตอบกลับมาหาฉันตั้งนานแล้ว )

มาดูการเปรียบเทียบการใช้yet และ still ในรูปแบบทั่วๆไป
               Ex. Tao lost his job six months ago and is still unemployed.
                      เต๋าได้ออกจากงานเมื่อหกเดือนที่แล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่ได้งานทำ
                      Tao lost his job six months ago and hasn't found another job yet.
                      เต๋าได้ออกจากงานเมื่อหกเดือนที่แล้ว และก็ยังหางานไม่ได้เลย
                      Is it still raining? ฝนยังคงกำลังตกอยู่หรือ?
                      Has it stopped raining yet? ฝนยังไม่หยุดตกอีกหรือ?

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เตรียมเปิดชั้นเรียน Conversation&Grammar Refresher

คอร์ส Conversation สนทนากับอาจารย์ชาวต่างชาติ/เจ้าของภาษา และคอร์ส Grammar Refresher รื้อฟื้น ทบทวน  ปูพื้นฐานโครงสร้างหลักสูตรและไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกับทีมงานอาจารย์ที่จบสายภาษามาโดยตรงและมากด้วยประสบการณ์


เตรียมเปิดชั้นอีกแล้ว 
สำหรับ Conversation สนทนากับอาจารย์เจ้าของภาษา โดยมี 2 ช่วงเวลาให้เลือก คือ 
1. จันทร์ และ ศุกร์ เวลา 17.00-19.00 น.
2. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 16.00-18.00 น.
สำหรับ Grammar Refresher ปูพื้นฐาน รื้อฟื้น ทบทวนโครงสร้างและไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ โดยมีช่วงเวลาให้เลือก คือ
1. จันทร์ - อังคาร เวลา 15.00-17.00 น.
2. พุธ และ ศุกร์ เวลา 17.00-19.00 น.
3. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 15.00-17.00 น.


วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คำถามที่น่าจะถามในระหว่างการสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ

มาดูคำถามที่น่าจะถามในระหว่างการสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ




1. Please introduce yourself. / Could you please introduce yourself briefly? (กรุณาแนะนำตัวเอง)

แนวการตอบ การแนะนำตัวเองก็เพียงแสดงให้ผู้สัมภาษณ์รู้ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ไม่จำเป็นต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรามากจนเกินไป

2. Why do you choose to study this major? / What’s your reason why you choose to study this major? (ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้)

แนวการตอบ จะต้องสอดคล้องกับข้อมูลที่เราได้ตระเตรียมมา ถ้าหากเราไม่ได้เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรมาก่อนว่า มีสาขาที่เปิดสอนอะไรบ้าง และจะต้องเรียนอย่างไร อาจจะทำให้การตอบคำถามในข้อนี้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้สัมภาษณ์จะเห็นว่าเราไม่มีความพร้อมที่จะเรียนในหลักสูตรนี้ ทั้งๆที่เราจะเข้าเรียนในสาขานี้ในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว ดังนั้น เราควรตอบให้สอดคล้องกับคำถามในเรื่องการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ และแรงจูงใจที่จะศึกษาในสาขาดังกล่าว

3. How do you know ______________ University? And why do you want to study in this institute?
(รู้จักมหาวิทยาลัย.......... ได้อย่างไร และทำไมถึงต้องการศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้)

แนวการตอบ คำถามนี้ต้องการคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติเกี่ยวกับหลักสูตรและสถาบันในเชิงบวก นั่นหมายความว่า หลักสูตรหรือสาขาที่จะเข้าศึกษาต่อนั้นดีและมีประโยชน์อย่างไร มหาวิทยาลัยที่เราสอบนั้นดี และมีชื่อเสียงด้านใดบ้าง ทั้งนี้ เราควรตอบในเชิงยกย่องสถาบันนั้นๆ

4. After your graduation, what would you like to be / do in the future? (เมื่อจบปริญญาตรีสาขานี้ไปแล้ว คิดว่าจะทำงานด้านใด)

แนวการตอบ จะต้องตอบในทางที่สามารถนำเอาความรู้ที่ได้จากที่เรียนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ต้องเตรียมเหตุผลมาสนับสนุนให้กลมกลืนกันระหว่างการปฏิบัติงาน กับการนำความรู้ที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้ ถึงแม้ว่า อนาคตเราอาจจะไม่ได้ทำงานตามที่เราได้เรียนมาก็ตาม หรือว่าเราอาจยังไม่มีอาชีพที่เราอยากทำ ณ ตอนนี้ก็ตาม

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลักการเขียนบทคัดย่อภาษาอังกฤษ (Abstract)

หลักการเขียนบทคัดย่อ

ศัพท์และรูปประโยคที่พบบ่อยใน Abstract

ซึ่งประโยชน์มากเพราะหยิบมาใช้ได้ทันที ดังข้างล่างนี้

1. การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ
the objective (s) of the study was (were) to ......................
the purposes of this study were : 1) to ..................., 2) to ....................
the study aimed at ......................
the study had .................. objectives, which were
the study had .................. objectives : to ............
2. เพื่อศึกษา
to examine, to investigate, to explore, to find out
3. เพื่อเปรียบเทียบ
to compare, to make a comparison between
4. ปัจจัยทางประชากรเศรษฐกิจสังคม
the demographic and socio – economic factors
5. สุ่มตัวอย่างโดยวิธี ................
A sample of .............. cases were drawn from ..................., using simple random sampling method 
6. กลุ่มตัวอย่าง คือ ........................
A sample was selected from ......................
................ cases were included as a sample
7. วิเคราะห์ข้อมูลโดย .......................
................ was used for data analysis 
data was analyzed using ..................
8. ผลการวิจัย
the findings indicated that .......................
the findings showed, pointed out, revealed that .................
It was found that ...................
the results of the study were as follows : 1) .................., 2) ........................
9. มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
- ...was statistically significant at 0.01 level
10. รูปแบบการวิจัย
เชิงปริมาณ The study was a quantitative research
เชิงคุณภาพ qualitative research
เชิงประวิติศาสตร์ historical research
เชิงเอกสาร documentary research
เชิงสำรวจ survey research
เชิงทดลอง experimental research
11. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การสำรวจ survey
การสังเกต observation
การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม participant observation
การสัมภาษณ์เชิงลึก in – depth interview
การสนทนากลุ่ม focus group discussion

ลองเอาไปใช้ดูนะค่ะ ว่าพอใช้ได้บ้างหรือเปล่า ^__^

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การ เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษและ รูปแบบประโยคที่ใช้บ่อยๆ

การ เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษนั้น รูปแบบประโยคที่ใช้บ่อยๆ เช่น ใช้ขึ้นต้นเรื่อง มักจะมีไม่กี่แบบ เราก็จำรูปแบบนั้นมาใช้เลย ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นเพียงบางส่วน
การเขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษนั้น รูปแบบประโยคที่ใช้บ่อยๆ เช่น ใช้ขึ้นต้นเรื่อง มักจะมีไม่กี่แบบ เราก็จำรูปแบบนั้นมาใช้เลย ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ประโยคที่นิยมใช้กัน เช่น

I am writing to inform you that …
ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแจ้งให้ทราบว่า …

I wish to inform you that …
ฉันประสงค์จะแจ้งให้ทราบว่า …

I would like to let you know that …
ฉันอยากแจ้งให้ทราบว่า …

I am writing to inquire about …
ฉันเขียนมาเพื่อถามเรื่อง …

I am writing to complain about …
ฉันเขียนมาเพื่อร้องเรียนเรื่อง …

I read / heard … and would like to …
ฉันได้อ่าน / ได้ยินในเรื่อง … จึงประสงค์จะ …

Thank you for your interest / inquiry.
ขอบคุณสำหรับความสนใจ / การถาม

I refer to the letter of [date] concerning [subject]
ฉันขออ้างอิงถึงจดหมายลงวันที่ [วันที่] เรื่อง [หัวข้อ]

I am contacting you regarding [subject]
ฉันต้องการติดต่อคุณเรื่อง [หัวข้อ]

I apologize in the delay in replying.
ฉันต้องขออภัยที่ตอบจดหมายของคุณล่าช้า

I would be very grateful if you …
ฉันจะขอบคุณมาก หากคุณ …

I would really appreciate it if you …
ฉันจะขอบคุณมาก หากคุณ …

Could you please …?
ขอความกรุณาช่วย … ได้หรือไม่

I wonder if you could …
ไม่ทราบว่า คุณจะช่วย … ได้หรือไม่

I wonder if it is alright to …
ไม่ทราบว่า จะสามารถ … ได้หรือไม่

I would like to …
ฉันอยากจะ …





ในย่อหน้าสุดท้าย เรามักจบด้วยการแสดงไมตรีจิตรด้วยถ้อยคำ เช่น

I am looking forwards to hearing from / meeting you.
ฉันจะรอคอยให้คุณติดต่อมา / ที่จะได้พบคุณ

I would be grateful if you will let me know as soon as possible.
จะเป็นพระคุณมาก หากคุณจะแจ้งให้ฉันทราบโดยเร็วที่สุด

If you have further questions, please contact …
หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ …

If you need any help, please feel free to tell me.
หากคุณต้องการให้ช่วย โปรดบอกฉันได้

If there is any question, please do not hesitate to ask me.
หากคุณมีข้อสงสัย โปรดอย่าลังเลที่จะถามฉัน

Thank you for help / understanding.
ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ / ความเข้าใจ

I truly appreciate your kindness.
ฉันซาบซึ้งในความกรุณาของคุณมาก

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรียนภาษาอังกฤษ เตรียมสอบ ติวเข้ม เพิ่มเกรด ที่อุบลราชธานี






ฝึกอ่าน ประโยคพื้นฐาน 5 แบบ

ประโยคพื้นฐาน 5 แบบ ข้างล่างนี้ เราขอชวนให้ทุกท่านฝึกทำความคุ้นเคย เพราะมันจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการทำความเข้าใจรูปแบบประโยคที่ซับซ้อนขึ้นไป

ประโยคพื้นฐาน 5 แบบ มีดังนี้

(1) ประธาน + กริยา / Subject + Verb
ตัวอย่าง:I swim. Joe swims. They swam.

(2) ประธาน + กริยา  + กรรม / Subject + Verb + Object
ตัวอย่าง:I drive a car. Joe plays the guitar. They ate dinner.

(3) ประธาน + กริยา + คำต่อกริยาให้ประโยคสมบูรณ์(complement) / Subject + Verb + Complement
ตัวอย่าง:I am busy. Joe became a doctor. They look sick.

(4) ประธาน + กริยา + กรรมรอง(คน) + กรรมตรง / Subject + Verb + Indirect Object + Direct Object
ตัวอย่าง:I gave her a gift. She teaches us English.

(5) ประธาน + กริยา + กรรม + คำต่อกริยาให้ประโยคสมบูรณ์(complement) / Subject + Verb + Object + Complement
ตัวอย่าง:I left the door open. We elected him president. They named her Jane.

complement ที่มาต่อคำ verb ให้ประโยคสมบูรณ์นั้น อาจจะเป็น noun, pronoun หรือ adjective ก็ได้ นะค่ะ

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียน TOEIC เตรียมสอบ เน้นข้อสอบ เจาะลึก รับรองผล เรียน TOEIC ที่อุบล

เตรียมสอบ TOEIC รับรองผล 600+ 

โปรโมชั่นพิเศษ 

มาสมัคร 3 คน 

คนที่ 3 จ่ายแค่ครึ่งราคา

เท่านั้น 

ด่วน !

รับสมัครถึงวันที่ 20 กันยายนนี้เท่านั้น

สนใจลงชื่อและเบอร์โทรไว้

ให้เราติดต่อกลับได้เลยนะค่ะ

วันและเวลาเรียนทางสถาบันฯ

จะมาอัพเดตให้ทราบอีกที



วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

เรซูเม (resume) คืออะไร เรามีคำตอบให้

เรซูเม คืออะไร คือ ประวัติการเรียนและประวัติการงาน ซึ่งเป็นเอกสารที่รวบรวม ประวัติการเรียนและการทำงานของเราทั้งหมดไว้อย่างสรุป (เน้นอย่างสรุป) โดยใช้เป็นเอกสารอีกแผ่นในการยื่นสมัครงานร่วมกันจดหมายสมัครงาน เพื่อบอกให้ทางบริษัทรับรู้ว่าเราคือใครได้ภายในสิบวินาทีที่อ่านเรซูเมของเรา ส่วนประกอบของเรซูเมทั่วไปจะประกอบด้วย



-                      จุดประสงค์ - จุดประสงค์ของการสมัครงาน บอกสั้นๆ ว่าเราต้องการทำอะไรให้กับบริษัท บอกว่าเราจะเป็นส่วนไหนในบริษัท ไม่ต้องบอกจุดประสงค์ เป้าหมายชีวิตเราว่า ห้าปีสิบปีจะทำอะไร อยากเปิดบริษัทของตัวเอง  อยากรีไทร์อายุ 45 พวกนี้ไม่ต้องบอก พยายามเก็บประโยคส่วนนี้สั้นๆ ซักหนึ่งหรือสองประโยค
-         
                เรียนจบจากไหน - โดยใส่ว่าเรียนจบจากที่ไหน เรียนช่วงระหว่างปีไหนถึงปีไหน และเกรดเฉลี่ยตอนจบเท่าไร โดยส่วนใหญ่ใส่สถานที่เรียนเฉพาะระดับอุดมศึกษา หรืออนุปริญญา โดยไม่จำเป็นต้องใส่ระดับอนุบาล ประถม หรือแม้แต่มัธยม เพราะคนรับสมัครงานเขาไม่สนใจว่าคุณจะจบอนุบาลที่ไหน
-        
                        ทำงานที่ไหนมาบ้าง - ใส่รายละเอียดชื่อบริษัท ตำแหน่งที่ทำงาน และหน้าที่รับผิดชอบของงานที่ทำ ถ้าทำหลายที่ ให้ใส่บริษัทล่าสุดไว้บนสุด และถ้าทำงานหลายตำแหน่งในบริษัท ก็ให้ใส่แยกกัน โดยอธิบายรายละเอียดว่า ได้ทำอะไรให้บริษัทบ้างในบริษัทนั้น โดยใส่เฉพาะส่วนเด่นๆ เพียงพอ พวกชงกาแฟ กับถ่ายเอกสารก็คงไม่ต้องใส่ไป
-         
                ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ - ปัจจุบันส่วนนี้ค่อนข้างสำคัญแล้ว บอกไปในเรซูเมว่า มีความรู้ความสามารถด้านไหน ทำโปรแกรมอะไรเป็นบ้าง และที่สำคัญอย่าโม้มาก (โม้เล็กน้อยพองาม) ถ้าโม้มาก ตอนไปสัมภาษณ์รับรองโดนจับได้ไม่ยาก นอกจากนี้ถ้าสมัครงานในบริษัทคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ต้องบอกไปว่าใช้วินโดวส์ได้ บอกเฉพาะเนื้อๆ เป็นพอ
-          
                 กิจกรรมและรางวัลที่ได้รับ - บอกว่าได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมมหาวิทยาลัย หรือกิจกรรมของบริษัท ได้ร่วมทำอะไรบ้าง แสดงถึงตัวคุณว่าสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้แค่ไหน มีความเป็นผู้นำแค่ไหน และแสดงว่าคุณทำได้นอกเหนือจากการเรียนอย่างเดียว
-        
                         ข้อมูลติดต่อ - อย่าลืมข้อมูลที่ติดต่อตัวคุณได้ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ และอย่าลืมใส่ชื่อนามสกุลตัวเองลงไป สัดส่วนกับภาพถ่ายไม่ต้องใส่


*    ความยาวของเรซูเมไม่ควรเกินหนึ่งแผ่น หรืออย่างมากสุดก็ไม่เกินสอง เคยเห็นบางคนเขียนเรซูเมมาห้าหน้า ประมาณว่าเล่นใส่ทุกอย่างตั้งแต่เกิดเลย อันนี้ก็ไม่จำเป็น คนรับสมัครงานเขาไม่สนใจว่าคุณจะเรียนจบอนุบาล หรือประถมจากไหน หรือแม้แต่เรียนจบมัธยมจากไหนด้วยซ้ำ

สุดท้ายข้อคิดในการเขียนเรซูเม ให้สมมุติตัวเองเป็นคนรับสมัครและกำลังอ่านเรซูเม ถามตัวเองดูว่า ถ้าคนแบบนี้มาสมัคร เราจะรับเขาไหม แล้วเราจะรู้ได้เองว่า ข้อมูลไหนที่ไม่ควรใส่ให้ตัดออก ข้อมูลไหนยาวและย่อได้ให้ทำให้กระชับ และข้อมูลไหนที่ไม่ชัดเจนให้เขียนเพิ่มเติมอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น